วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

ตลาดน้ำบางสะพาน หรือ ตลาดน้ำวัดสะพาน Bangsaphan Floating market


การที่มีตลาดน้ำมากมายเกิดขึ้นและเป็นตลาดน้ำที่มีชื่อเสียงก็เนื่องมาจากความเจริญรุ่งเรืองทางการสัญจรไปมาในยุคก่อน ที่คนส่วนใหญ่ใช้เส้นทางเรือซึ่งในปัจจุบันนี้ผู้ที่ใช้เส้นทางสัญจรทางเรือนั้นก็ยังน้อยกว่า เพราะหันไปใช้รถยนต์กันหมดตลาดน้ำจึงเงียบเหงาและเลือนหายไปในที่สุดแต่ตลาดแห่งนี้แม้ว่าเพิ่งเกิดมาเป็นตลาดน้ำใหม่ แต่ก็ทำชื่อเสียงให้กับวัดมากขึ้น จะว่าไปก็ไม่ใช่เพียงแค่ตลาดน้ำที่เลือนหาย เรื่องราวของวัดก็เลือนหายไปด้วย บรรยากาศ 2 ฝากฝั่งคลองที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้และเรือกสวนของชาวตลิ่งชันที่ยังคงดำเนินชีวิตด้วยวิถีแห่งเกษตรกรมาจนถึงทุกวันนี้ บ้านเรือนริมน้ำของชาวบ้านเรียงรายไปตลอดทางจนเกิดเป็นชุมชนริมน้ำขึ้นทั่วไปเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยววิถีชีวิตเก่าๆ ชมผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้านหรือจะพายเรือชมสวนร่วมกันแล้วยังมีโอกาสได้สักการะทำบุญไหว้พระที่วัดสะพานซึ่งเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในย่านฝั่งธนบุรี ถ้าหากจะเดินทางมาที่ตลาดน้ำวัดสะพาน ตั้งอยู่ที่ 38 หมู่ที่ 7 ถนนปากน้ำ กระโจมทอง ในแขวงบางพรม ที่เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร การเดินทาง วิ่งมาตามถนนราชพฤกษ์ ( มุ่งหน้าสู่ถนนบรมราชชนนี ) เลี้ยวซ้ายเข้าซอยถนนปากน้ำ – กระโจมทอง ประมาณ 1 กิโลเมตร จะเจอวัดสะพาน ตลาดน้ำเปิดทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00 – 15.00 น.


  
สิ่งที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดชมอย่างยิ่งที่ตลาดน้ำวัดสะพาน หลากรสอาหารที่หารับประทานได้ไม่ง่ายนัก เช่น ขนมไทยโบราณต่างๆ น้ำมะพร้าวหอมสดๆ จากสวนหรือเลือกอาหารคาวหวานที่แม่ค้าขายอยู่บนเรือในลำคลองที่ยังคงสภาพดั้งเดิมไว้ อาหารอื่นที่น่าสนใจ เช่น ก๋วยเตี๋ยวเรือ อาหารจากเห็ดเพื่อสุขภาพผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เป็นต้น หากเหนื่อยล้าก็สามารถเลือกซื้อเครื่องดื่มต่างๆ ได้


หลวงพ่อโต
หลวงพ่อกลาง
หลวงพ่อดำ
ด้วยการสักการะ หลวงพ่อโต หลวงพ่อกลาง และหลวงพ่อดำ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยรอดพ้นจากการทำลายของทหารพม่าอย่างน่าอัศจรรย์ วิหารโบราณสมัยอยุธยายังคงเป็นสภาพสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง สามารถกราบพระ ขอพร หรือถวายสังฆทานภายในวิหารได้ และยังมีการให้อาหารปลาที่ท่าน้ำในลำคลองบางน้อย ที่ใสสะอาด อาจเลือกให้อาหารปลาหรือปล่อยสัตว์สะเดาะเคราะห์ได้เหมือนกัน


ทางด้านหลังวิหารจะพบ ต้นสะตือโบราณ อายุกว่า 230 ปี ซึ้งเป็นต้นไม้ที่มีสรรพคุณทางยา และเป็นที่ต้องการมากแต่หาพบได้ยากในธรรมชาติ และยังได้เข้าประกวดต้นไม้ได้อันดับที่ 16 ของกรุงเทพมหานครเป็นต้นไม้ที่ใหญ่



            วิถีชีวิตริมคลองบางน้อย ชาวบ้านยังคงใช้เรือสัญจรไปมาไม่เปลี่ยนแปลงจากอดีต สามารถใช้บริการเรือชาวบ้านล่องเรือชมลำคลองและบ้านเรือนริมน้ำได้ และสุดท้ายถ้ำหลวงพ่อปู่ฤๅษีเทพมุนีมหาสิทธิโชค ภายในถ้ำใต้ต้นสะตือยักษ์


วิถีชีวิตริมคลองบางน้อย ชาวบ้านยังคงใช้เรือสัญจรไป


เรือทัวร์พาท่องเที่ยวชมลำคลอง

ติดตามข่าวสารได้ที่ fan page >> https://www.facebook.com/Bangsaphan.thailand.bangkok

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

"ขนมครกสิงคโปร์" หอมนุ่มหวานอร่อย

      
 
      ถ้าพูดถึง "ขนมครก" ใครๆก็จะนึกถึง ขนมที่เป็นทรงถ้วยเล็กๆ ที่มีกะทิเป็นส่วนผสมหลักและมีฐานที่บางกรอบ โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย ข้าวโพด เผือก ฝักทอง ฯลฯ แต่ในบล็อกนี้จะพูดถึง "ขนมครกสิงคโปร์" ซึ่งจะมีน้อยคนที่จะรู้จัก แต่ถ้าบอกว่าขนมสีเขียว หอมกลิ่นใบเตย รูปดอกไม้ เชื่อว่าจะต้องมีคนรู้จักมากขึ้น ขนมครกสิงคโปร์มีเอกลักษณ์ตรงที่รสชาติกลมกล่อม มีกลิ่นหอมใบเตย สีสันสวยงาม ตัวขนมจะมีลักษณะเหนียวนุ่มน่ารับประทา ดูเหมือนจะทำยากแต่ขอบอกเลยว่าง่ายแสนง่ายค่ะ

วัสดุอุปกรณ์
  1. กระทะที่เป็นหลุมๆ และมีฝาปิด (ถ้ากระทะไม่มีฝาใช้ฝาหม้ออื่นก้อได้คะ ที่ปิดได้สนิท มีรูระบายอากาศ และไม่สูงมากค่ะ ไม่งั้นขนมจะออกมาไม่สวยนะคะ)
  2. เตาแก๊ส
  3. ไม้แคะ (ไม้จิ้มลูกชิ้น)
  4. เหยือก หรือ กาน้ำ (สำหรับหยอดขนม)
  5. ถาด
  6. ตะแกรง (ไว้พักขนม)
  7. ถ้วยตวงและช้อนตวง
  8. กะละมังสแตนเลส
ส่วนผสม
  1. แป้งเค้ก (ตราพัดโบก)        1 1/2            ถ้วยตวง
  2. แป้งมัน                        3/4               ถ้วยตวง
  3. ผงฟู                           1 1/2            ช้อนชา
  4. น้ำตาลทราย                  1                  ถ้วยตวง
  5. เกลือ                          1/2               ช้อนชา
  6. กะทิ                                        1/2                ถ้วยตวง
  7. น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น                  1 1/2             ถ้วยตวง
  8. ไข่ไก่                          6                  ฟอง
  9. กลิ่นใบเตย                   1                   ช้อนชา 

วิธีทำ
  1. ร่อนแป้งเค้ก แป้งมัน และผงฟู ไว้ในกะละมังสแตนเลส เพื่อให้อากาศเข้าไปในแป้ง ทำให้แป้งมีความเบาขึ้น
  2. นำใบเตยหอมมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วหั้นเป็นท่อนเล็กๆ นำไปปั่นให้ละเอียด นำมาคั้นกับน้ำ(ใบเตยหอม 1 กก.ต่อ น้ำ 3 ลิตร) และกรองด้วยผ้าขาวบาง เพื่อเอากากออก
  3. นำน้ำตาลทรายใส่ลงในแป้ง ตามด้วยเกลือนิดหน่อย ใช้มือเคล้า ๆ พอให้ทั่ว ใส่ไข่ไก่ตามลงไปในแป้ง ใช้มือนวดเบา ๆ พอให้ส่วนผสมเข้ากัน แล้วค่อย ๆ ใส่น้ำกะทิ ตามลงไปทีละน้อย เสร็จแล้วจึงใส่น้ำคั้นใบเตย และกลิ่นใบเตย ใช้ทัพพีคนไปเรื่อย ๆ จนนำตาลละลายและส่วนผสมเข้ากันดี ตั้งพักไว้ประมาณ 20 นาที
  4. ระหว่างรอให้แป้งเซ็ตตัว ให้นำกระทะสำหรับทำขนมมาเตรียมไว้ ตั้งไฟให้ร้อนจัด ใช้แปรงหรือผ้าจุ่มน้ำมันพืชหรือเนย ทาให้ทั่ว (เพื่อช่วยให้ขนมร่อนและไม่ติดพิมพ์)
  5. พอกระทะร้อนดีแล้วตักแป้งใส่กาน้ำที่ถนัดมือ แล้วทำการหยอดแป้งลงในพิมพ์แต่ละช่องให้เกือบเต็มหลุมหรือประมาณ 3/4 ของหลุม ปิดฝาจนขนมสุก ใช้ไฟอ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที (ถ้าใช้ไฟแรงขนมจะไหม้เสียหมด) ไม่ต้องกลับด้านเพราะขนมจะสุกทั่วได้เอง พอขนมสุกจะฟู 
    ใช้ไม้หรือเหล็กแซะแคะขนมออกจากหลุมมาแผ่ไว้บนตะแกรงที่เตรียมไว้ รอให้ขนมพออุ่น ๆ (การหยอดแป้งครั้งต่อไปไม่ต้องใช้น้ำมันหรือเนยเช็ดพิมพ์แล้ว)

  
        เป็นไงคะ เพียงแค่นี้เราก็ได้ขนมนุ่มๆ หอมกลิ่นใบเตย ทานกับกาแฟหรือน้ำชา ยามว่างได้ง่ายๆ ด้วยฝีมือของเราเอง แล้วนะคะ ขนมครกสิงคโปร์เรายังสามารถดัดแปลงให้เป็นรสอื่นได้อีกมากมาย ทั้งรสกาแฟ โกโก้ นมข้าวโพด บลูเบอร์รี่ ฯลฯ แล้ววันหลังจะนำรูปมาพรีวิวให้ชมนะคะ หวังว่าเพื่อนๆคงจะนำไปลองทำดูนะคะ ผลออกมาเป็นไงมาบอกด้วยนะคะ